พฤติกรรมอะไรจะเปลี่ยนไปบ้าง? เมื่อ “New Normal” กำลังก้าวเข้ามาในชีวิต
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด-19 ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อวีถีชีวิตของเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การดำเนินชีวิตประจำวันของใครหลายคนต้องเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย หรือบางคนก็เปลี่ยนแบบหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว จากไม่คุ้นเคยก็กลายเป็นความเคยชิน จนปฏิเสธไม่ได้ว่าพฤติกรรมเหล่านี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราไปแล้ว
ซึ่งนั่นคือนิยามของคำว่า “New Normal” แปลตรงตัวได้ว่า “ความปกติใหม่” นั่นเอง
บทความนี้ขอรวบรวมพฤติกรรมหรือการปฏิบัติตัวต่าง ๆ ที่เปลี่ยนไป เปรียบเทียบก่อนการเกิดโควิด-19 และในปัจจุบัน
1. ใกล้ชิดกับโลกออนไลน์มากขึ้น
เรียกได้ว่าอินเทอร์เน็ตเป็นเรื่องใกล้ตัว และเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเราสักพักใหญ่ ๆ แล้ว แต่มาวันนี้มันขยับเข้ามาใกล้เรามากกว่าเดิม เรียกได้ว่าตั้งแต่ตื่นจนเข้านอนเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาข้อมูลที่น่าสนใจ ติดต่อสื่อสาร วีดิโอคอลกับคนที่รักที่คิดถึง เรียนหรือทำงานแบบออนไลน์ ฟังเพลง ดูหนัง ซีรีส์ ทำธุรกรรมทางการเงินผ่านแอปพลิเคชันแทนการไปธนาคาร ซื้อสินค้าทั้งอุปโภคหรือบริโภคเอง โดยเฉพาะการสั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชันเดลิเวอรีต่าง ๆ รวมถึงผันตัวไปเป็นพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ซะเองผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย หรือกลุ่มฝากร้านต่าง ๆ ด้วย เห็นได้เลยว่าหลายคนที่เมื่อก่อนไม่คุ้นเคยกับโลกออนไลน์สักเท่าไร ก็ยังหันมาเรียนรู้และใช้มันจนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
2. เว้นระยะห่างทางสังคม
ในชีวิตประจำวันที่ต้องเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะ เรียนหรือทำงานในออฟฟิศที่มีคนรวมกลุ่มกันมากมาย การไปห้างสรรพสินค้า หรือเบียดเสียดกันในสถานบันเทิงและงานเทศกาลต่าง ๆ ถือว่าเสี่ยงมาก การเว้นระยะห่างทางกาย ไม่สัมผัส ไม่ใกล้ชิดกันเท่าแต่ก่อน ใช้เวลาอยู่บ้านของตนเองให้มากที่สุด นับว่าเป็นการลดสาเหตุการแพร่เชื้อโควิด-19 ได้มากทีเดียว แถมช่วยให้เรามีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น และลงมือทำอะไรบางอย่างที่เคยตั้งเป้าหมายไว้แต่ยังไม่เริ่มสักที
3. หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น
การมีสุขภาพดีเป็นเรื่องสำคัญ ยิ่งในช่วงเวลานี้เชื่อว่าหลายคนคงหันมาใส่ใจสุขภาพตนเองเพิ่มขึ้นแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายแบบที่ชอบ ทั้งในสวนสาธารณะ สนามกีฬา หรือในบ้านตนเองก็ตาม เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง มีรูปร่างเป็นที่น่าพอใจ และช่วยคลายเครียดได้อีกด้วย นอกจากนี้ คนยังเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มองหาผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่เหมาะกับตนเอง รวมไปถึงการเข้มงวดด้านสุขอนามัยเบื้องต้น เช่น การล้างมือก่อนรับประทานอาหาร ใช้เจลแอลกอฮอล์หลังสัมผัสสิ่งของในพื้นที่สาธารณะ หรือสวมใส่หน้ากากอนามัยเมื่ออกจากบ้าน
4. พฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยเปลี่ยนไป
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการจับจ่ายซื้อของในร้านทำให้เราได้เห็นและสัมผัสสินค้าจริง ๆ นั้น มีผลต่อการตัดสินใจซื้อมากกว่าการซื้อทางออนไลน์ แต่ในยุคนี้ที่อินเทอร์เน็ตอยู่ใกล้แค่เอื้อม เพียงหยิบสมาร์ตโฟนแล้วพิมพ์ชื้อสินค้าลงไป ข้อมูลมหาศาลจะหลั่งไหลเข้ามาให้กดดูแทบไม่ทัน แถมยังจ่ายเงินได้ง่ายผ่านแอปฯ ธนาคารในโทรศัพท์แค่ไม่กี่คลิก ตอบโจทย์ความสะดวกสบาย ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง และเว้นระยะห่างทางสังคมกับผู้อื่นอีกด้วย
5. สนใจด้านการเงินมากขึ้น
ในช่วงที่ผ่านมา มีคนได้รับผลกระทบทางการเงินจากโควิด-19 ไม่น้อยเลยทีเดียว บางคนถูกลดเงินเดือน ถูกลดค่าแรงรายวัน หรือถูกเลิกจ้าง การขาดรายได้ทำให้ชีวิตสะดุด ยิ่งถ้าไม่มีเงินเก็บแล้วอาจไปต่อได้ยาก การศึกษาด้านการเงินไว้จึงเป็นหนทางที่ดีทั้งในปัจจุบันและอนาคต แม้จะอยู่ในช่วงวิกฤติหรือไม่ก็ตาม เช่น การจัดสรรรายรับให้สัมพันธ์กับรายจ่าย การออมเงินสำรองไว้ยามฉุกเฉิน กางลงทุนในกองทุน หุ้น หรือการซื้อประกันที่ตอบโจทย์ความต้องการของตนเอง ฯลฯ
นี่เป็นส่วนหนึ่งของพฤติกรรมมนุษย์ที่คาดว่าจะกลายเป็น “New Normal” หลังจากโควิด-19 หมดไป ไม่แน่ใจว่าสิ่งไหนยังคงอยู่ หรืออะไรหายไป แต่เชื่อเถอะว่า นี่อาจจะเป็นหนทางแห่งการปรับตัวที่ดีในยุคนี้ก็ได้ อย่างไรก็ตาม ปันกันขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่เผชิญปัญหามีพลังบวกในตนเอง ประคับประคองความรู้สึกของคนรอบข้าง และมาผ่านเหตุการณ์นี้ไปด้วยกัน
บทความ : จุติมา อนุสาย
ภาพประกอบ Freepik